เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ ม.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โดยธรรมชาติของมนุษย์นะ ธรรมชาติของมนุษย์โดยกิเลส เราจะว่าเรานี่ดีหมดเลย เราเข้าใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ สุภัททะพราหมณ์เป็นพราหมณ์มหาศาล เป็นผู้ที่มีปัญญามาก เป็นผู้มีความเข้าใจมาก มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เขาเป็นพราหมณ์นะ ไตรเวทย์เขาท่องได้หมด แล้วเขาศึกษาวิชาการมาเยอะมาก

พอศึกษาวิชาการมาเยอะมากก็ละล้าละลังไง ทำอะไรก็ทำไม่ได้เพราะตัวเองมีวิชามาก ตัวเองมีปัญญามาก มีวรรณะด้วย เป็นพราหมณ์ พราหมณ์ต้องเหนือสูงสุดใช่ไหม แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นพราหมณ์ แต่พราหมณ์ที่มาตัดผม พราหมณ์ที่ตัดผมออกบวชเขาถือว่าออกจากพราหมณ์ไป ออกจากวรรณะไป เขาดูถูก หนึ่ง..เขาดูถูกนะ สอง..องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอายุน้อยกว่า เขาอายุมากกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เขามีการศึกษาทางวิชาการมาเยอะด้วย แต่เขาไม่เข้าใจ เห็นไหม มันก็ละล้าละลังใช่ไหม จะไปไหนมาก็ไม่ได้

แต่ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยบุญนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมนี่มีชื่อเสียงมาก แล้วทางสังคมก็ยอมรับว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา คืนนี้ท่านจะปรินิพพานน่ะ เราจะไปถามท่านไหม ถ้าเราไม่ได้ถามท่านนะ มันก็จะหมดโอกาส เห็นไหม ทั้งๆ ที่ความรู้เยอะนะ ความรู้เต็มไปหมดเลย มีคุณวุฒิ ชาติวุฒิดีไปหมดเลยนะ ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานคืนเพ็ญเดือน ๖ เห็นไหม พอเข้าไปถาม

“ศาสนาไหนก็ว่าศาสนานั้นดี ทางทฤษฎีไหนก็ว่านั้นถูกต้องหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดว่าอย่างไร?”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกนะ บอกว่า

“ไม่มีรอยเท้าบนอากาศ”

บนอากาศไม่มีรอยเท้าหรอก รอยเท้าต้องอยู่บนดิน บนดินน่ะเราเดินไปมันจะมีรอยเท้า เห็นไหม ศาสนาไหนว่าดี มันไม่มีมรรค ไม่มีผลหรอก ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ถ้ามีเหตุ เห็นไหม ต้องมีเหตุมีผล รอยเท้าต้องอยู่บนดิน บนดินคืออะไร บนดินคือหัวใจเรานี่ไง

“เธออย่าถามให้มากไปเลย เราจะปรินิพพานในคืนนี้แล้ว”

“อานนท์บวชให้! บวชให้เลย!”

พระอานนท์บวชให้นะ พอบวชให้ กำหนดภาวนาคืนนั้นนะ เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดึงกลับแล้ว ไม่ใช่ส่งออกไง ให้ดึงกลับน่ะ ไม่มีรอยเท้าบนอากาศ เห็นไหม พอดึงกลับมาคืนนั้นนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแต่ก็ยังไปเทศนาว่าการได้พระอรหันต์องค์สุดท้ายไง ได้องค์สุดท้ายอีกองค์หนึ่งนะ

นี่เหมือนกัน ในปัจจุบันนี้เราว่าเรามีการศึกษามาก มีการศึกษามากนะ ดูนะ ระบบเศรษฐกิจที่มันพังอยู่นี่ ปัจจุบันมันพังเพราะอะไร ระบบตรวจสอบใช่ไหม ระบบตรวจสอบมันตรวจสอบมาอย่างไร เอสอง นะ เอสอง เอสามล้มครืนไปเลยนะ พอเซ็นมันก็ล้ม มันเชื่อถือได้ไหม? ฟังสิ! ทางวิชาการที่เราศึกษา มันเชื่อถือได้ไหม เราได้พิสูจน์ตัวเราเองหรือยัง ขนาดที่ว่าระบบตรวจสอบเขาให้เอบวก เออะไร มันมีผลประโยชน์ร่วมกัน

นี่ก็เหมือนกัน เราศึกษาธรรมะนี่ เห็นไหม ดูสิ ดูพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะศึกษากับสัญชัยมา พระสารีบุตรนะ ดูสิอัครสาวก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างบุญญาธิการมา เวลาไปอยู่กับอาฬารดาบส เห็นไหม

“เจ้าชายสิทธัตถะนี้มีความรู้เหมือนเรา มีความรู้เสมอเรา เป็นครูสั่งสอนได้ในสำนักนี้”

เจ้าชายสิทธัตถะปฏิเสธเพราะความรู้ในหัวใจเรามันไม่ใช่ เวลาเข้าฌานสมาบัติมันก็สงบอยู่ชั่วคราว เวลาออกมาก็ทุกข์อันเดิม เห็นไหม แล้วศาสดาน่ะ ศาสดาที่ไม่เป็น เห็นไหม พอศาสดาการันตีเรานี่ บอกเราเลยว่าเรามีความรู้เสมอท่าน แล้วเราเชื่อไหมล่ะ?

ถ้าเป็นพวกเราเดี๋ยวนี้นะ เราไปอ่าน เราไปเก็บตก เรายังเชื่อเลย แต่นี้ศาสดาของเขายอมรับเลย เจ้าชายสิทธัตถะไม่เชื่อ พอไม่เชื่อขึ้นมาน่ะ ออกมา.. ออกมาก็รื้อค้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ตรัสรู้ขึ้นมาเองโดยชอบ

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปอยู่กับสัญชัย สัญชัยก็สอนๆๆๆๆ สอนจนหมดเลย เอ้า.. สอนต่อมา จบแล้วมีเท่านี้ ถ้ามีเท่านี้พระสารีบุตรบอกอย่างนี้ไม่ใช่ อย่างนี้ไม่ใช่ เพราะเวลาเจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษากับอาฬารดาบส เห็นไหม เข้าฌานสมาบัติคือความสงบ เข้าความสงบมา เวลาไปศึกษากับสัญชัยน่ะ ให้ใช้ปัญญาออกไป ปัญญาออกไปนะ

“สิ่งใดก็ไม่ใช่ ในโลกนี้ไม่มีอะไรใช่เลย ไม่ใช่คืออะไร ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ แล้วไม่ใช่คืออะไร ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ไอ้นั่นไม่ใช่ก็คือไม่ใช่”

เดี๋ยวนี้เราสอนกันอย่างนี้นะ

“นั่นก็สักแต่ว่า นี่ก็สักแต่ว่า”

มันสักแต่ว่าทำไมมันเจ็บ? มันสักแต่ว่าทำไมมันเจ็บปวด? มันสักแต่ว่าทำไมมันเกิด? มันสักแต่ว่าได้อย่างไร? มันสักแต่ว่าแต่เมื่อผลที่จบกระบวนการแล้ว ถ้าจิตมันถอนออกมาแล้ว จิตมันถอนทุกอย่างออกมาแล้ว มันปล่อยหมดแล้ว มันเหมือนน้ำบนใบบัว เห็นไหม น้ำบนใบบัวกับน้ำอันเดียวกันไหม มันไม่ใช่อันเดียวกันใช่ไหม?

จิตที่มันได้คายแล้ว มันได้ถอดถอนกิเลสแล้ว มันถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่สำหรับพวกเราปฏิบัติใหม่เป็นอย่างนั้นไม่ได้ เป็นอย่างนั้นมันก็เหมือนเด็ก เด็กพอโตขึ้นมาก็เด็กไม่ต้องเรียน เด็กนี่มีปัญญาขึ้นมาเองเลย เด็กมันจะประสบความสำเร็จในชีวิต ปล่อยให้มันสะดวกสบายของมันเลย เป็นไปได้ไหม?

เราจะมีการประกอบสัมมาอาชีวะ เห็นไหม เด็กมันก็ต้องเรียนนะ เราต้องมีการศึกษา ต้องมีวิชาการ เราต้อง.. เพื่ออะไร เพื่อเตรียมตัวไว้ เพื่อหน้าที่การงาน เพื่อยืนอยู่ในสังคม ถึงที่สุดแล้วทำงาน

เรียนมามันก็ปริยัติ ปริยัติรู้ขนาดไหนก็ทำไม่ได้หรอก ปริยัติ ทฤษฎีเห็นไหม เรียนมานี่ ดูสิ ทฤษฎีนะ เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เศรษฐศาสตร์ เห็นไหมเศรษฐศาสตร์ ทฤษฎีมันคงที่ แต่วิธีการกระทำที่มันจะกระทำไป แล้วออกไปเห็นไหม มันเป็นนิยายนะ นิยายธรรมะ ดูสิ ทฤษฎีเสนอมานี่ ทฤษฎีทำได้หรือไม่ได้ ทฤษฎีมันดีก็จริงอยู่แต่ในพื้นที่ในเหตุปัจจัยที่มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะมันมีกรรม มีต่างๆ อีกมหาศาลเลย

ในใจของเราก็เหมือนกัน นี้เราเกิดมา มันมีต้นทุน มีกรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จริตนิสัย ทำไมคนหนึ่งเขาชอบ ทำไมคนหนึ่งเขาฟังแล้วเขายอมเชื่อฟังล่ะ ทำไมเราฟังแล้วเราไม่ฟัง เราฟังแล้วทำไมเราไม่เชื่อล่ะ เราไม่เชื่อ มันไม่มีเหตุมีผลใช่ไหม อันนี้วุฒิภาวะ ถ้ามีวุฒิภาวะขึ้นมา นี่พรหมจรรย์ไง

“เธออยู่เพื่ออะไร?”

เวลาพระบวชมา พรหมจรรย์อยู่เพื่ออะไร ไม่ใช่จะเป็นอาจารย์สอนใครนะ ไม่ใช่จะไปแก้ลัทธิใดๆ ที่เขาเห็นผิด จะไปแก้เขา.. ไม่ใช่! ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้นเลย พรหมจรรย์นี้อยู่เพื่อพรหมจรรย์ พรหมจรรย์นี้อยู่เพื่อชำระล้างจิตใจของเรา พรหมจรรย์นี้เพื่อถอดถอนอุปาทาน ถอดถอนหัวใจของเรา มันถอดถอนจบแล้ว มันถอดถอนสิ้นแล้ว พรหมจรรย์เพื่อเรา

แต่พรหมจรรย์ เห็นไหม เราศึกษามานะ เราศึกษาทางทฤษฎีมา ทฤษฎีนั้นว่าถูก ทฤษฎีนี้ว่าผิด เราก็จะปฏิบัติเลย แล้วจะไปแก้ทฤษฎีนั้น พอว่าเราจะแก้ทฤษฎีนั้นน่ะ มันส่งออก มันเอาทฤษฎีนั้นมาเป็นเครื่องหมาย มาเป็นความกังวล เห็นไหม พรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์ ทฤษฎีใครจะถูก ทฤษฎีใครจะผิดวางไว้ แล้วเราศึกษาค้นคว้าของเรา ให้มันเป็นความจริงในหัวใจของเรา

นี่รอยเท้าบนดิน รอยเท้าบนดินน่ะ บนดินมันอยู่ที่ไหน บนดินคือภพ บนดินคือใจ ถ้าใจมันทำขึ้นมา เห็นไหม เวลาการกระทำขึ้นมา เราศึกษามาจบ เรียนจบมาแล้วเราหางานทำน่ะ เวลาหางานทำมันยากไหม แล้วเข้าไปทำงาน ความเป็นจริงมันยากไหม

นี่เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติมันต้องลงทุนลงแรง มันต้องมีสติ มันต้องตั้งใจของเรา ตั้งใจของเรานะ แล้ววิชาการวางไว้ให้หมด วิชาการเวลาปฏิบัติน่ะ วิชาการคือตัวฟุ้งซ่าน วิชาการคือตัวเหยื่อล่อ มันเหยื่อล่อนะ เหยื่อล่อให้กิเลส มีกิเลสอยู่แล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม หลักการ ทฤษฎี เอามาล่อมันอีก ความว่างๆ จิตจะเป็นอย่างนั้น..

พอจิตจะเป็นอย่างนั้นมันก็สร้างภาพ การสร้างภาพนะมันเป็นความไม่จริงใช่ไหม ถ้าเป็นความจริงไม่ใช่การสร้างภาพใช่ไหม ถ้าเป็นความจริง ถ้ามันสงบ มันสงบจริงๆ ใช่ไหม แล้วปัญญามันเกิดขึ้นมา ปัญญามันฟาดฟันกิเลส มันจะรู้จริงๆ นะ

ดูสิ เวลาเราใช้มีดฟันต้นไม้ ฟันสิ่งต่างๆ เวลามันขาดออกไป มันล้มออกไป เราเห็นไหม แต่เราสร้างภาพน่ะ มันไม่ได้ฟัน ไม่ได้ลงมือลงแรงอะไรเลย ถ้าลงทุนลงแรง มันจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าลงทุนลงแรงน่ะ เราตัดต้นไม้ล้มเป็นต้นๆ ไป เราไม่รู้ได้อย่างไรว่าต้นไม้มันล้มไปต่อหน้าเรา

แต่นี้มันสร้างภาพ! นึกว่าต้นไม้มันล้ม แล้วก็ยังคิดทางทฤษฎีนะ ใช่.. การตัดไม้ เวลาตัดไม้ถึงโคนต้น ต้นมันต้องล้มเป็นธรรมดาใช่ไหม พอต้นมันล้มเป็นธรรมดานี่มันก็สร้างภาพ อาการเป็นอย่างนั้นๆ จิตเป็นอย่างนั้นน่ะ แล้วมันสบายไหมล่ะ มันทำง่าย ทำง่ายกว่า คำว่าง่ายว่ายาก เราไปติดกันตรงนั้น เพราะอะไรนะ เขาจะบอกว่าสิ่งนี้ง่าย

สิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร เวลาเราศึกษามาแล้วนะ มันไม่ใช่ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาของครูบาอาจารย์เรา แล้วเวลาครูบาอาจารย์เราประพฤติปฏิบัติอย่างเช่นครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นนะท่านปฏิบัติมา แล้วครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติถึงกัน เห็นไหม เวลาท่านคุยธรรมะกัน เหมือนกับอาจารย์ของเรา เราสามารถเดินทันอาจารย์ของเราได้ ถ้าเดินทันอาจารย์ของเราได้ เราคุยธรรมะกันน่ะ มันต้องเป็นอันเดียวกัน ถ้าเป็นอันเดียวกัน มันต้องลงกัน มันต้องยอมรับกันใช่ไหม มันถึงเป็นหลักเป็นเกณฑ์มา

แต่ผู้ที่อยู่นอกวงการ เห็นไหม เขาบอกหลวงปู่มั่นนี่ไม่ใช่พระอรหันต์หรอก เพราะหลวงปู่มั่นยังดูดบุหรี่อยู่ หลวงปู่มั่นท่านดูดบุหรี่ตราไก่นะ หลวงตาเรานี่ไม่เป็นพระอรหันต์หรอก เพราะยังฉันหมากอยู่ เวลาพูดธรรมะมาน่ะ ธรรมะผ่านจากไอ้พวกชานหมากออกมา มันจะไม่มีคุณธรรม นี่ไง พอเขาพูดอย่างนี้เราก็เชื่อ เพราะวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็เป็นอย่างนั้นใช่ไหม?

แต่การกินการอยู่มันแก้กิเลสได้ไหมล่ะ คนกินอิ่มหนำสำราญ อยู่ด้วยความเป็นสุข มันแก้กิเลสได้ไหมล่ะ มันแก้ไม่ได้หรอก ปัจจัยเครื่องอาศัย การกินการอยู่นี่มันอยู่เพื่อท้อง มันอยู่เพื่อร่างกาย แต่เวลาทำจิตใจขึ้นมา มันทำสมาธิขึ้นมา มันมีศีลมีธรรมขึ้นมา มันเป็นที่อาการของใจ มันเป็นธรรมจักรในหัวใจ มันไม่ใช่การดูดบุหรี่

การดูดบุหรี่ไม่ดูดบุหรี่นี่นะ มันอยู่ที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่บัญญัติไว้ อบายมุขห้ามอะไรบ้าง แต่บุหรี่ในสมัยพุทธกาล เวลาเขาเป็นไซนัสมันเป็นยาได้ ยาไซนัสน่ะ ยาดูดขึ้นมานี่ สิ่งใดที่เป็นประโยชน์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ห้าม เพียงแต่ว่าทำแล้วนี่โลกวัชชะ โลกเขาตีเตียนได้

ในปัจจุบันนี้ทางวิทยาศาสตร์มันเจริญใช่ไหม เวลาเขาทำบุหรี่ นิโคตินต่างๆ นี่มันเป็นสารก่อมะเร็ง ถ้าเรารู้ เราก็ไม่ดูด มันก็จบ สิ่งที่ถ้ามันเป็นโทษใช่ไหม เรารู้ว่าเป็นโทษ สิ่งใดเป็นโทษเราก็อย่าไปทำมัน แต่สิ่งที่มันเป็นคุณมันมี ถ้ามันเป็นยา ไซนัสนี่เขาใช้ยานะ มวนแล้วดูดเข้าไปแล้วให้มัน..

พระพุทธเจ้าไม่ห้ามขาดไง ให้เลือกเอา ดูอย่างเช่นอดอาหารนี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกห้ามอดอาหาร ห้ามอดใช่ไหม ห้ามอดเพราะอะไร ห้ามอดเพราะเรามันโง่ ถ้าบอกว่าการอดอาหารนี่นะ มันจะเป็นประโยชน์ต่อการภาวนานะ แล้วถ้าคนมันเชื่อโดยศรัทธา เราจะบอกว่าคนปฏิบัติจะมีคนตายเยอะมากเลย เพราะมันอดจนตาย มันไม่ได้อดฆ่ากิเลสไง

ถ้าอดแบบไม่มีปัญญา อดแบบไม่เข้าใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามการอดอาหาร แต่เราอนุญาตให้กับคนที่อดอาหารเพื่อเป็นอุบาย เป็นเครื่องเสริม เราอนุญาต ใครอดอาหาร การอดอาหาร การทำแปลกจากโลกเขาไปนี่ มันจะเป็นสิ่งที่โลกเขาเชื่อถือศรัทธา ท่านบอกว่า “ใครอดอาหารมาเพื่ออวดนะ เพื่อจะให้เขาศรัทธา เราปรับอาบัติทุกกิริยาการเคลื่อนไหวเลย” ท่านปรับอาบัติด้วย อดมาเพื่อมาอวดอ้างเขานี่ แต่ถ้าเป็นอุบายวิธีการ อดมานะเพื่อให้ร่างกายมัน..

ดูสิ เรานั่งทำไมสัปหงกล่ะ เรานั่งสมาธิกัน เราปฏิบัติ ทำไมเราไม่ได้ผล มันไม่ได้ผลเพราะอะไร เพราะว่าธาตุขันธ์มันทับ กินอิ่มนอนอุ่นนี่นะ ไปนั่งก็สัปหงกโงกง่วง แต่เราผ่อนไง ผ่อนอาหาร กินแต่พอสมควร กินเพื่อดำรงชีวิต อย่าให้พลังงานเหลือ พลังงานเหลือแล้วมันไปกดถ่วงจิตใจ มันมีอุบายนะ

ถ้าคนปฏิบัติแล้วเห็นอุบายนะ การผ่อนอาหารนี่ให้ร่างกายมันเบาแล้วการปฏิบัติง่าย เดินจงกรมนี่ตัวปลิวเลยนะ เดินจงกรมนี่คล่องตัวมาก แต่ถ้ากินเต็มท้องเลยนะ เดินจงกรมนี่โอ้โฮ.. มันเดินไม่ออก มันจะคลานไป แล้วก็อดอาหารเป็นประโยชน์อะไร อดอาหารเป็นอุบาย แต่การฆ่ากิเลสมันเป็นมรรคญาณ มันเป็นเรื่องของมรรคในหัวใจทั้งหมด มันไม่เป็นเรื่องอาหารการกินหรอก

อาหารการกินนะ ถ้าพูดถึงอาหารการกิน เขาว่ากินบริสุทธิ์ๆ โทษนะ วัวน่ะมันเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว มันกินหญ้าอ่อนๆ มันกินยอดหญ้า มันไม่กินอะไรเลยนะ ดูช้างสิ มันกินแต่พืช สัตว์กินพืชมันก็เป็นพระอรหันต์หมดแล้วน่ะสิ มันไม่เป็นหรอก!

การกินอาหารนี่ อาหารมันแค่ดำรงชีวิตและเลี้ยงร่างกาย แต่การประพฤติปฏิบัติมันเรื่องของปัญญา เรื่องของนามธรรม ถ้าเรื่องของนามธรรม เราต้องมีสติ มีปัญญาของเรานะ นิยายธรรมะมันเยอะ พอนิยายธรรมะมันเยอะนะ เขามาถามเหมือนกัน

“หลวงพ่อ.. หันไปไหนมีแต่พระอรหันต์ เขาโฆษณากันทั่วโลกเลยนะ นั่นก็หันต์ นี่ก็หันต์ ไม่รู้หันไปไหน”

แล้วเราเชื่อไหม เราประพฤติปฏิบัติกันน่ะ ทำสมาธิก็แสนยาก ปัญญาจะเกิดมาแต่ละที มันอู้ฮูนะ ปัญญาจะเกิดกับเรา ปัญญาที่เป็นมรรคญาณนะ ปัญญาที่ชำระกิเลสนี่ เพราะมันต้องมีสมาธิ พอมีสมาธิมันเกิดขึ้นมา ไม่ได้เกิดจากตัวตน มันเกิดจากสัจธรรม มันจะเข้ามาเลาะ เข้ามาทำลายความยึดมั่นถือมั่นของเรา

แต่เวลาเราคิด ยิ่งคิดยิ่งยึดมั่น กลัวคิดแล้วมันจะลืม ยิ่งคิดยิ่งกลัวจะลืม ยิ่งคิดยิ่งจะกอดมันไว้นะ แล้วมันจะแก้กิเลสได้อย่างไร นี่มันปัญญาคนละปัญญา เราทำกันเองนะ ทำสมาธิก็แสนยาก ปัญญาจะเกิดที่เป็นมรรคญาณ เกิดที่เป็นโลกุตตรธรรม มันก็เกิดขึ้นมาแต่ละวรรคแต่ละตอน แล้วเขาพูดกันแต่ปาก พูดกันนะเป็นไปหมดเลยน่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!

ดูอย่างปัญญาเราก็เข้าใจแล้ว โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา ปัญญาอย่างนี้เป็นสุตมยปัญญา คือการศึกษา จินตมยปัญญา จินตนาการถ้ามีสมาธิลึกกว่าจินตนาการของโลกนะ จินตนาการของโลกคือจินตนาการของเขา แต่สมาธินี่มันสร้างภาพ จนพระที่ไม่เข้าใจเลยติดว่าเป็นนิพพานได้เลยล่ะ จินตมยปัญญาฆ่ากิเลสไม่ได้ ภาวนามยปัญญามันเกิดอย่างไร ปัญญาที่เกิดจากการภาวนานี่

เห็นไหม เราบอกบ่อย ปัญญาเกิดจากจิตไม่ใช่ปัญญาเกิดจากสมอง มันต่างกันอย่างไร ปัญญาเกิดจากจิตน่ะ ปัญญาเกิดจากจิตไม่ใช่ปัญญาเกิดจากสมอง ปัญญาเกิดจากสมองคือสัญญา คือข้อมูล เพราะพลังงานมันเป็นอนาคตไปแล้ว มันเป็นอนาคต มันคิดไปข้างหน้า อดีต-อนาคตแก้กิเลสไม่ได้ มันต้องเป็นปัจจุบัน แล้วปัจจุบันที่ไหน?

นี่ไง รอยเท้าบนดินนะ นี่รอยเท้าบนจิต ความคิดจากจิต รอยเท้านี่มันมาจากไหน คนทำได้ถึงรู้ได้ เห็นไหม เราว่าเราปัญญามาก ปัญญามาก วางไว้นะ วางไว้ก่อน วางปัญญาไว้แล้วทดสอบตามความเป็นจริง แล้วออกมาก็เทียบเคียงเอา ถูกไม่ถูก แล้วมีครูบาอาจารย์ให้ถาม ว่าปัญญาของเรา เราเจออะไรเราก็ยึด เราว่าเป็นความจริง เห็นไหม

น่าสงสารนะ เมื่อวานมา ๒ คน ๒ รอบ เขาบอก เขาพูดเลยเองว่า

“ผมนี่มีปัญญามาก ผมมีการศึกษามาก” ไม่รู้เขาไม่บอกหน้าที่การงานเขานะ “แล้วให้ผมทำอย่างไรล่ะ?” เขาพูดกระซิบๆ นะ สงสารนะ สงสารมากๆ เลย

เพราะอย่างนี้มันปัญญาของเรา มันจะหลอกเรา กิเลสนะ ปัญญาที่กิเลสพาใช้ เราไม่รู้ตัวเลยนะว่าปัญญาของเราแท้ๆ นี่จะทำให้เราหมดอายุขัยไปชาตินี้ เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นนะ มันจะจูงเราไปตลอด แล้วเราจะหมดโอกาสนะ พอลมหายใจขาดปั๊บ ตาย พอตายแล้วจะรู้เลยว่าไปที่ไหน

แต่ถ้าในปัจจุบันนี้ เรายังมีชีวิตอยู่ ยังมีโอกาสอยู่ แล้วปัญญามันจะดึงไป กิเลสมันจะหลอกไป เราอย่าเชื่อมัน ต้องทดสอบมันแล้วจับดู ปัญญาเป็นอย่างไร? ถ้าเป็นปัญญาจริงทำไมเราควบคุมเราไม่ได้ล่ะ? ปัญญาจริงทำไมเราเอาจิตเราไม่อยู่ล่ะ? แล้วครูบาอาจารย์ที่เทศน์เอาอยู่ได้อย่างไร?

ดูสิ เวลาเทศน์ออกมา อารมณ์ทั้งนั้นเลย ไม่ใช่! ไม่ใช่อารมณ์ทั้งนั้นเลย มันออกมาจากหัวใจ ออกมาจากแรงขับ แรงขับที่เห็นถูกเห็นผิด แล้วพูดสิ่งที่ผิดๆ นะ แรงขับนี่มันโต้แย้งกับความผิด มันเลยออกมาด้วยความรุนแรงไง สิ่งนั้นมันผิดทั้งหมดแล้วมึงบอกถูกได้อย่างไร? แล้วสิ่งที่ถูกมึงรู้หรือเปล่า? มึงรู้หรือเปล่า?

นี่มันดันออกมา ดันออกมาเห็นไหม แล้วบอกโอ้ฮู.. อารมณ์รุนแรงแล้วบอกควบคุมได้ ควบคุมทำไมออกมาแรงขนาดนี้.. ออกมาแรงขนาดนี้เพื่อพิสูจน์ความจริงไง พิสูจน์กันสิ อะไรจริงอะไรไม่ปลอม สิ่งนี้จะเกิดขึ้นมาได้จริง นี่เราคิดกันเองนะ วางไว้ ปัญญาวางไว้ แล้วกลับไปที่ความสงบ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ครูบาอาจารย์ท่านสอนบอกว่า

“ต้องทำจิตสงบก่อน”

ถ้าจิตสงบก่อน ปัญญาที่เกิดขึ้น กิเลสมันจะมาช่วงชิงเอาไปคิดไม่ได้ มันจะเป็นปัญญาธรรมไง ปัญญาที่มันเกิดนี่คือเกิดที่กิเลสมันช่วงชิงเอาปัญญาเราไปเป็นอาวุธ แล้วกลับมาฟันหน้าเรา ฟันหัวใจ แล้วเราก็เชื่อมัน ก็จำนนกับมันเห็นไหม

แต่ถ้าจิตสงบ กิเลสมันไม่มีโอกาสได้ใช้ ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา ปัญญาจะฟันหน้ากิเลส สิ่งนั้นมันอยู่ที่ไหน นี่มันทำได้นะ ปัญญาอันหนึ่งทำร้ายเรา ปัญญาของกิเลสทำร้ายเรา ทำร้ายโอกาสของเรา ทำร้ายเวลาของเรา ถ้าปัญญาของธรรมมันจะเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม ถึงวางไว้ก่อนแล้วทำความสงบให้จิตสงบเข้ามาก่อน แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นไป มันจะเห็นตามความเป็นจริงนะ เอวัง